วิธีตรวจเช็คและการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถของท่าน
สิ่งสำคัญสำหรับรถทุกคันที่จำเป็นต้องใช้ทุกวันนี้ก็คือ แบตเตอรี่ เพราะหากไม่มีมัน รถของเราก็คงสตาร์ทไม่ติด และขับเคลื่อนไปไหนไม่ได้ ซึ่งทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้ว แต่จะมีใครบ้างที่รู้จริงถึงหลักการทำงานของมัน รวมไปถึงวิธีดูแลรักษา การสังเกตว่าแบตเตอรี่ที่เราใช้อยู่เสื่อมรึยัง ฯลฯ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับแบตเตอรี่กันก่อน ว่ามันมีหน้าที่อะไร และทำงานอย่างไร
แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บ และจ่ายกระแสไฟฟ้า ที่ทำปฏิกิริยาเคมีภายใน จนทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้นมา จากนั้นแบตเตอรี่จะจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่รถในการสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยเริ่มจากจ่ายไฟฟ้าไปให้ไดร์สตาร์ทเพื่อติดเครื่องยนต์ และเมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดดีแล้ว ระบบไฟฟ้าที่ใช้ในรถทั้งหมดจะใช้จากไดชาร์จ จากนั้นตัวแบตเตอรี่เองจะได้รับการเติมไฟฟ้าเข้าไปจากไดร์ชาร์จ ทำให้แบตเตอรี่กลับมามีกระแสไฟเต็มอีกครั้ง
แบตเตอรี่ที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
1. แบตเตอรี่เปียก (กรดตะกั่ว) เหมาะกับผู้ที่ดูแลรักษารถเป็นประจำ และใช้รถเป็นประจำทุกวัน เพราะต้องเติมน้ำกลั่นบ่อย อย่างน้อยก็ควรเดือนละครั้ง เพื่อรักษาปริมาณน้ำกลั่นให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีราคาถูก อายุการใช้งานยาวนานที่สุด ถ้าดูแลดีอย่างสม่ำเสมอ
2. แบตเตอรี่กึ่งแห้ง MF (maintenance free) พัฒนามาจากแบตเตอรี่ชนิดเติมน้ำกลั่น ถูกออกแบบมาให้มีการสูญเสียน้ำกลั่นน้อยมาก (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ด้วยการคิดสูตรผสมแผ่นธาตุใหม่ผสมแคลเซียม (calcium) ทำให้การระเหยของไอกรดต่ำ ต้องเติมน้ำกลั่นบ้าง ตรวจเช็กอย่างน้อยครึ่งปีต่อครั้ง ราคาปานกลาง อายุการใช้งานปานกลาง
3. แบตเตอรี่แบบแห้ง SMF (Sealed Maintenance Free Car Battery) แบตฯ แห้งของเมืองนอกจะใช้เจล หรือซิลิโคนแทนน้ำกรด แต่แบตเตอรี่แห้งที่ผลิตใช้ในบ้านเรายังใช้น้ำกรดบรรจุอยู่ในแบตเตอรี่ ด้วยเหตุผลทางสภาพอากาศของบ้านเราที่ค่อนข้างร้อน แต่ก็จะถูกซีลปิดไว้ไม่สามารถเติมน้ำกลั่นได้ ใช้ง่ายไม่ต้องดูแลรักษาแบตเตอรี่เลย เหมาะกับรถที่ไม่ได้ขับบ่อย ซึ่งแบตฯ ประเภทนี้มีราคาแพงที่สุด อายุการใช้งานต่ำสุด ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น
วิธีการดูแลรักษาให้แบตเตอรี่อยู่คงทนไปกับเรานานๆ มีดังนี้
1. ทำความสะอาดสายไฟ และแบตเตอรี่ด้วยน้ำอุ่น และเช็ดให้แห้งทุกครั้ง
2. ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ด้วยน้ำร้อน หรือโซดา ราดลงไป จากนั้นใช้แปรงสีฟันเก่าๆ ขัด และทาด้วยวาสลิน เพื่อป้องกับคราบขี้เกลือ
3. หมั่นเช็กน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดือนละครั้ง และอย่าปล่อยให้น้ำกลั่นแห้ง
4. เติมน้ำกลั่นให้พอดี ไม่เกินกว่าขีดสูงสุด และไม่น้อยกว่าขีดต่ำสุด
5. เช็กระดับกระแสไฟแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
6. เมื่อรู้สึกว่าไฟอ่อน ให้ไปตรวจดูไดชาร์จว่าปกติหรือไม่
7. เช็กจุดติดตั้งแบตเตอรี่ ว่ายังมั่นคงแข็งแรง และยังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่
8. ห้ามเติมน้ำกรด และน้ำกลั่นที่มีสี (สารหล่อเย็น) หรือสารเคมีโดยเด็ดขาด
9. ขณะตรวจเช็คระดับน้ำในแบตเตอรี่ ห้ามสูบบุหรี่ไปด้วย เพราะอาจก่อให้เกิดการระเบิดได้
10. ตาแมวของแบตเตอรี่ใช้เช็กดูกำลังไฟ โดยสีต่างๆ แบ่งความหมายออกตามนี้
สีน้ำเงิน คือ ไฟเต็ม ยังดีอยู่
สีส้มแดง คือ แบตเตอรี่เริ่มมีปัญหา อาจต้องชาร์ตไฟ หรือเติมน้ำกลั่นเข้าไปเพิ่ม
สีขาว คือ แบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพ หมดอายุการใช้งาน
สุดท้ายมาดูวิธีสังเกตแบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพกัน ว่ามันจะมีอาการแบบไหนบอกให้เรารู้ตัวบ้าง
1. สตาร์ทรถติดยาก
2. ไฟหน้าดรอปลง ไม่สว่างเหมือนเดิม
3. เติมน้ำกลั่นบ่อยมากกว่าเดิม จากเดือนละครั้ง อาจเป็นหลายครั้งต่อเดือน (สำหรับแบตเตอรี่แบบเปียก)
4. ระบบไฟฟ้าต่างๆ ในรถทำงานช้าลง เช่น กระจกไฟฟ้า ฯลฯ
5. ไดสตาร์ทไม่สามารถใช้งาน หรือสตาร์ทเครื่องยนต์ได้
6. น้ำกรดภายในแห้ง ลดลงต่ำกว่าแผ่นธาตุ
7. แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม
8. แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานมากกว่า 1 ปีครึ่ง – 2 ปี
ขอบคุณมาที่:http://www.silkspan.com
ด้วยความปราถนาดี
ฺํBYPARTSHOP
หน้าที่เข้าชม | 1,983,141 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,262,511 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |